วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

ลองเพิ่มหลักการเรียนศัพท์ภาษาอังกฤษดูนะ

การเพิ่มความรู้ทางศัพท์ภาษาอังกฤษอาจดูว่ายากโดยเฉพาะเมื่อมีอีกหลายคำเหลือเกินที่คุณยังไม่รู้ คุณรู้สึกท้อแท้ใจหรือเปล่า? นี่คือคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยให้คุณขยายขอบเขตความรู้ทางคำศัพท์

Learn by doing! ร่างกายเรียนได้เร็วกว่าสมอง ! นี่เป็นเรื่องจริง เราเรียนรู้จากการกระทำได้เร็วกว่าจากการดูหรือการฟัง เพราะฉะนั้นอย่าเพียงดูหรือฟังอย่างเดียวเท่านั้น แต่จงใช้มัน! ไม่ว่าจะเป็นด้วยการพูดหรือการเขียนหรือการอ่าน ฝึกฝนการใช้ด้านดังกล่าวทุกวันเป็นประจำจนคุณรู้สึกว่าคุณไม่ได้แค่ท่องจำศัพท์นั้นๆ แต่คุณรู้มันต่างหาก
Seek and you shall find! พยายามเรียนรู้หาศัพท์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ถ้าคุณเจออะไรที่คุณไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร จงหาคำตอบให้ได้ ! ไม่ว่าจะเป็นการค้นจากอินเตอร์เน็ตหรือจากดิกชันนารี่แล้วเขียนบันทึกเตือนความจำลงไป ความรู้ทางคำศัพท์ของคุณจะขยายกว้างขวางขึ้นทุกวัน
Play a game! การเล่นเกมส์เป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยคุณขยายความรู้ทางด้านคำศัพท์ ถ้าคุณตอบถูกก็เยี่ยมมาก! แต่ถ้าคุณตอบผิดก็ยิ่งดีไปใหญ่ ! เพราะนั่นหมายความว่าคุณจะได้เรียนศัพท์ใหม่ซึ่งจะถือว่าเป็นการแพ้ไม่ได้เลย ลองเล่นเกมส์อย่างเช่นcrossword puzzlesหรือ Scrabble หรือHangman เป็นต้น
It's your cue! แปะ cue cards (กระดาษชิ้นเล็กๆ ที่ใช้เขียนคำหรือประโยค) ลงบนสิ่งของในครัว ห้องนอน หรือห้องน้ำ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณเรียนรู้คำศัพท์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งมันก็จริงว่าไม่มีทางที่คุณจะจำศัพท์เหล่านี้ไม่ได้ในเมื่อคุณมองหาและต้องใช้สิ่งของเหล่านั้นอยู่ทุกวันอยู่แล้ว !
Make use of multimedia. ดูหนังเป็นภาษาอังกฤษและพยายามจับใจความคำพูดให้ได้ ถ้าคุณได้ยินคำที่คุณไม่รู้ความหมาย จดไว้เพื่อหาคำตอบทีหลัง ขีดเส้นใต้ศัพท์ที่คุณไม่รู้ในหนังสือพิมพ์ เรียนอังกฤษจากเพลงที่คุณชอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกสนุกสนานกับการเรียนภาษอังกฤษโดยไม่เบื่อหน่าย
Take a guess! คุณสามารถเดาความหมายของคำศัพท์จากเนื้อหารอบข้าง พยายามเดาความหมายของคำที่ไม่รู้โดยใช้คำต่างๆ ที่คุณรู้เป็นหลักอ้างอิง อย่างเช่น ถ้าใครพูดว่า "I saw a movie at the cinema," และถ้าคุณไม่รู้ความหมายของคำว่า'cinema,' ก็ลองเดาดู คุณอาจทึ่งว่าคุณเดาความหมายของศัพท์ส่วนใหญ่ได้ถูกต้องอยู่บ่อยๆ

เทคนิคการเรียนคำศัพท์

การเพิ่มความรู้ทางศัพท์ภาษาอังกฤษอาจดูว่ายากโดยเฉพาะเมื่อมีอีกหลายคำเหลือเกินที่คุณยังไม่รู้ คุณรู้สึกท้อแท้ใจหรือเปล่า? นี่คือคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ที่จะช่วยให้คุณขยายขอบเขตความรู้ทางคำศัพท์

Learn by doing! ร่างกายเรียนได้เร็วกว่าสมอง ! นี่เป็นเรื่องจริง เราเรียนรู้จากการกระทำได้เร็วกว่าจากการดูหรือการฟัง เพราะฉะนั้นอย่าเพียงดูหรือฟังอย่างเดียวเท่านั้น แต่จงใช้มัน! ไม่ว่าจะเป็นด้วยการพูดหรือการเขียนหรือการอ่าน ฝึกฝนการใช้ด้านดังกล่าวทุกวันเป็นประจำจนคุณรู้สึกว่าคุณไม่ได้แค่ท่องจำศัพท์นั้นๆ แต่คุณรู้มันต่างหาก
Seek and you shall find! พยายามเรียนรู้หาศัพท์ใหม่ๆ อยู่เสมอ ถ้าคุณเจออะไรที่คุณไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร จงหาคำตอบให้ได้ ! ไม่ว่าจะเป็นการค้นจากอินเตอร์เน็ตหรือจากดิกชันนารี่แล้วเขียนบันทึกเตือนความจำลงไป ความรู้ทางคำศัพท์ของคุณจะขยายกว้างขวางขึ้นทุกวัน
Play a game! การเล่นเกมส์เป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยคุณขยายความรู้ทางด้านคำศัพท์ ถ้าคุณตอบถูกก็เยี่ยมมาก! แต่ถ้าคุณตอบผิดก็ยิ่งดีไปใหญ่ ! เพราะนั่นหมายความว่าคุณจะได้เรียนศัพท์ใหม่ซึ่งจะถือว่าเป็นการแพ้ไม่ได้เลย ลองเล่นเกมส์อย่างเช่นcrossword puzzlesหรือ Scrabble หรือHangman เป็นต้น
It's your cue! แปะ cue cards (กระดาษชิ้นเล็กๆ ที่ใช้เขียนคำหรือประโยค) ลงบนสิ่งของในครัว ห้องนอน หรือห้องน้ำ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณเรียนรู้คำศัพท์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งมันก็จริงว่าไม่มีทางที่คุณจะจำศัพท์เหล่านี้ไม่ได้ในเมื่อคุณมองหาและต้องใช้สิ่งของเหล่านั้นอยู่ทุกวันอยู่แล้ว !
Make use of multimedia. ดูหนังเป็นภาษาอังกฤษและพยายามจับใจความคำพูดให้ได้ ถ้าคุณได้ยินคำที่คุณไม่รู้ความหมาย จดไว้เพื่อหาคำตอบทีหลัง ขีดเส้นใต้ศัพท์ที่คุณไม่รู้ในหนังสือพิมพ์ เรียนอังกฤษจากเพลงที่คุณชอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณรู้สึกสนุกสนานกับการเรียนภาษอังกฤษโดยไม่เบื่อหน่าย
Take a guess! คุณสามารถเดาความหมายของคำศัพท์จากเนื้อหารอบข้าง พยายามเดาความหมายของคำที่ไม่รู้โดยใช้คำต่างๆ ที่คุณรู้เป็นหลักอ้างอิง อย่างเช่น ถ้าใครพูดว่า "I saw a movie at the cinema," และถ้าคุณไม่รู้ความหมายของคำว่า'cinema,' ก็ลองเดาดู คุณอาจทึ่งว่าคุณเดาความหมายของศัพท์ส่วนใหญ่ได้ถูกต้องอยู่บ่อยๆ

ต่างกันอย่างไร

คุณควรacceptหรือ exceptการเชิญ? คุณรับประทาน dessertหรือdesert? ภาษาอังกฤษมีคำที่มักใช้กันอย่างสับสนอยู่บ่อยๆ ลองมาดูกันดีกว่าว่าจะใช้คำศัพท์เหล่านี้ให้ถูกต้องได้อย่างไร!

'dessert' or 'desert'

Dessert หมายถึงของหวาน ส่วน desert หมายถึงทะเลทราย

'accept' or 'except'

accept หมายถึงยอมรับหรือเห็นด้วย ส่วน except หมายถึงยกเว้น

'there' or 'their'

คำแรกเป็น adverb หมายถึงที่นั่น ส่วนคำหลังแสดงความเป็นเจ้าของของสรรพนาม หมายถึง ของพวกเขา เช่นTheir house is over there

'principle' or 'principal'

Principles หมายถึงความเชื่อ กฎ หรือหลักความจริง ส่วน principal หมายถึงอาจารย์ใหญ่ หรืออันดับแรกแห่งตำแหน่งของความสำคัญ

'advice' or 'advise'

คำแรกเป็นคำนาม คำหลังเป็นคำกิริยา ดังนั้นคุณจึง advise someone by giving them good advice

'borrow' or 'lend'

borrowหมายถึงยืมจากคนอื่น ส่วน lend หมายถึงให้คนอื่นยืม เช่น Can I borrow your car? Sorry, I can't lend it to you today.

'despite' or 'although'

ทั้งสองมีความหมายคล้ายคลึงกันแต่หลักไวยากรณ์การใช้ต่างกัน Despite เป็นpreposition ในขณะที่ although เป็น conjunction เช่น He won the race despite his injury และ He won the race although he had an injury

'affect' or 'effect'

คำแรกเป็นคำกิริยา ส่วนคำหลังเป็นคำนาม เช่น The effect of the war is enormous; it has affected all sectors of the economy

'personal' or 'personnel'

personalหมายถึงส่วนตัว หรือเฉพาะตัว ส่วน personnel หมายถึงพนักงานของบริษัท

'assure' or 'ensure'

การที่จะassureใครซักคนหมายถึงคุณต้องทำให้เขาหมดความสงสัยหรือยืนยันให้ความมั่นใจแก่เขา ส่วนensureหมายความว่าการที่คุณพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เช่น I assured him that you would be there, so please ensure that you get to the meeting on time.

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

กระดาษทรายแผ่นนั้น

พระคุณที่ยิ่งใหญ่

ผู้เป็นเรือจ้าง

ว่าที่คุณครู

รางวัลให้ครู

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

ความหมายและความต่างกัน

ในภาษาอังกฤษ มีคำศัพท์ที่มีความหมายคล้ายกันเยอะมากๆ 
เวลาจะนำไปใช้ต้องรู้จักความหมายที่แท้จริงของแต่ละคำก่อน
เช่นคำง่ายๆที่เราเห็นบ่อยๆเช่น House และ Home วันนี้จะขอพูดถึง
เรื่องบ้านและที่ิอยู่อาศัยก่อนนนะคะ

1.House and Home.

House: ตัวเรือนบ้านที่เป็นหลังๆ คนที่อยู่ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง หรือให้คนเช่าก็ได้

Their house is in Bangkok.

Home:บ้านเกิดเมืองนอน ที่เน้นความรัก ความอบอุ่น

I want to live at home.

ฉันต้องการอาศัยอยู่ที่บ้านของฉัน( ไม่ใช้ต่างแดนอย่างนี้)

2. Apartment, flat ,condominium, bungalow, inn, hotel, motel, hostel, mainson, residence, boarding house, dormitary and accomodation

Apartment: ห้องชุดทีมีหลายๆห้องอยู่บนตึกใหญ่ ในห้องนั้นๆมีห้องน้ำ ห้องนอน ห้องนั่งเล่นพร้อมทุกอย่าง จะให้เช่ามากกว่าขายขาด คำนี้คนอเมริกันจะเรียกกัน

Flat: เหมือน Apartment ทุกอย่าง คนอังกฤษเรียก

Condominium: ห้องชุด หรูหรา มีทุกอย่างพร้อม คนที่อยู่อาศัยจะซื้อขาดเป็นเจ้าของเอง เป็นภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน

Bungalow: ที่พักชั้นเดียว ไม่มีบันได

Inn: โรงแรมเล็กๆ ที่อยู่ตามเมืองเล็กๆ

Hotel: โรงแรมใหญ่ หรูหรา มีทุกอย่างพร้อมสรรพ เช่น สระว่ายน้ำ ไนท์คลับและสโมสรต่างๆ

Motel: โรงแรมหรือที่พัก แยกห้องพักและที่จอดรถต่างหาก ทำห้องพักและที่จอดรถช่องใครช่องมันว่างั้นเถอะ

Hostel: บ้านพักหรือที่พักของสมาคมต่างๆ เพื่อช่วยเหลือคน ไม่คิดหวังกำไร

Mainson: บ้านขนาดใหญ่ โอ่อ่า หรูหรา หรือคฤหาสน์

Residence: บ้านที่หรูหรากว่า House มาก เป็นที่พักอาศัยของบุคคลสำคุญของประเทศ

Boarding house: ที่พักหรือหอพักให้เช่ากินอยู่เสร็จ ส่วนใหญ่จะให้นักศึกษาเช่า

Dormitary: เป็นหอพักที่มีขนาดใหญ่ มีหลายชั้น ไว้ให้นักศึกษาเช่า

Accomodation: เป็นการกล่าวรวมๆ ถึงที่พักอาศัยไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นแบบไหน

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

ต้องเป็นครู...............อย่างไร


ต้องเป็นครู  รู้สมัคร  รักหน้าที่                            ต้องเป็นครู  รู้ดี  วิธีสอน
ต้องเป็นครู  รู้กฎ  พจน์สุนทร                             ต้องเป็นครู  รู้วอน  ตอนบรรยาย
ต้องเป็นครู  รู้นิสัย  ดักใจศิษย์                            ต้องเป็นครู  จริต  ศิษย์เสียหาย
ต้องเป็นครู  รู้ปราบ  เรื่องหยาบคาย                  ต้องเป็นครู  รู้ระบาย  ถ่ายวิชา
ต้องเป็นครู  รู้พิพัฒน์  ปัจจุบัน                           ต้องเป็นครู  รู้ทัน   วันข้างหน้า
ต้องเป็นครู  รู้สำรวจ  ตรวจจรรยา                    ต้องเป็นครู  รู้เวลา  พาอบรม
ต้องเป็นครู  รู้ช่อง  ยกย่องศิษย์                          ต้องเป็นครู  รู้ใครผิด  คอยคิดข่ม
ต้องเป็นครู  รู้อดใจ  ใครติชม                              ต้องเป็นครู  รู้คำคม  คารมดี
ต้องเป็นครู  รู้เพียร  เรียนก้าวหน้า                     ต้องเป็นครู  รู้ท่า  สง่าศรี
ต้องเป็นครู  รู้ยึด  ประพฤติดี                              ต้องเป็นครู  รู้ไมตรี  มีปัญญา
ต้องเป็นครู  รู้ไว  ใจเป็นพระ                               ต้องเป็นครู  รู้ชนะ  ละโทษา
ต้องเป็นครู  รู้สมเพช  มีเมตตา                           ต้องเป็นครู  รู้เฮฮา  พาเบิกบาน
ต้องเป็นครู  รู้ตรอง  ครองใจศิษย์                      ต้องเป็นครู  รู้กิจ  คิดรอบด้าน
ต้องเป็นครู  รู้ผจญ  เพื่อผลงาน                         ต้องเป็นครู  รู้ชำนาญ  งานเพื่อครู
ต้องเป็นครู  รู้วาจา  ประกาศิต                            ต้องเป็นครู  รู้พิชิต  คิดกอบกู้
ต้องเป็นครู  รู้สร้าง  ตัวอย่างครู                         ต้องเป็นครู  รู้เชิดชู  เป็นครูไทย


ครูแบบไหนจึงจะเรียกว่า "ครูในฝัน"...? - ครูบ้านนอกดอทคอม เกมส์ ข่าวการศึกษา บล็อก ความรู้มากมาย

ครูแบบไหนจึงจะเรียกว่า "ครูในฝัน"...? - ครูบ้านนอกดอทคอม เกมส์ ข่าวการศึกษา บล็อก ความรู้มากมาย
ค่ายย่อยๆๆ

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

พหุปัญญา ความฉลาด 8 อย่าง (Multiple Intelligence) 
พหุปัญญา
ศาสตราจารย์โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ เขียนไว้ในหนังสือ Frames of Mind ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2526 ว่าปัญญาของ มนุษย์หรือความเก่งของมนุษย์มีอยู่ 7 ด้าน และในปี พ.ศ. 2538 ได้เพิ่มเป็น 8 ด้าน เรียกว่าพหุปัญญา 8 ประการ ได้แก่
1. ปัญญาด้านภาษา หมายถึง ความสามารถในการคิดเป็นภาษาพูดและการใช้ภาษาเพื่อแสดงออก และมีความชื่นชอบใน ความหมายที่สลับซับซ้อนของภาษา
  กิจกรรมเพื่อพัฒนาปัญญาด้านภาษา เช่น การใช้สัญลักษณ์ การอ่านแผ่นพิมพ์คอทพิวเตอร์ การโต้วาที การประพันธ์ การเล่า เรื่องขำขัน การกล่าวสุนทรพจน์ การอ่าน การเล่าเรื่อง การฟัง การฟังเทป การเขียนเรียงความ การเขียนรายงาน การเล่มเกมอักษรไขว้ การอ่านนิทาน/นิยาย การอ่านหนังสือสารคดี การอ่านหนังสือพิมพ์ การอ่านวารสาร การใช้อินเตอร์เนต การวิจัย การอ่านหนังสือทั่วไป การอ่านอัตชีวประวัติ และการทำบรรณานุกรม เป็นต้น
2. ปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์   ปัญญาด้านนี้ช่วยให้สามารถคิดตัวเลข คิดปริมาณ พิจารณาข้อสันนิษฐานและสมมติฐานต่าง ๆ และสามารถทำโจทย์คณิตศาสตร์ที่สลับซับซ้อนได้
        กิจกรรมเพื่อพัฒนาปัญญาด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ เช่น การทายปัญหา การทำเค้าโครงเรื่องย่อ การจัดลำดับเหตุการณ์ การสร้างภาพ/ลวดลายต่าง ๆ การหาเหตุและผล การหาข้อแตกต่าง การแก้สมการ การคิดคำนวณ การเล่นเกม และการคิดเลขเศษส่วน เป็นต้น
3. ปัญญาด้านมิติสัมพันธ์   ช่วยปลูกฝังความสามารถในการคิดเป็นสามมิติ(กว้าง ไกล และลึก) สามารถสร้างภาพ เปลี่ยนภาพหรือ ปรับภาพได้ ทำให้สามารถพาตนเองและวัตถุต่าง ๆ ผ่านไปในระยะทางหรือที่ว่างได้ และสามารถสร้างหรือถอดรหัสหรือแปลความ ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในรูปของงานขีดเขียน(งานกราฟฟิก)ได้
        กิจกรรมเพื่อพัฒนาปัญญาด้านมิติสัมพันธ์ เช่น การเขียนภาพ การวาดภาพ การเขียนการ์ตูน การแกะสลัก การต่อภาพ การเขียน แผนที่ การทำป้ายนิเทศเรื่องราว การดูวีดิทัศน์ การใช้สัญลักษณ์ การใช้ภาพโปสเตอร์ การดูและศึกษาภาพจิตรกรรมฝาผนัง การทำตุ๊กตาล้มลุก การสร้างรูปจำลอง การปะภาพกระดาษ การสเกตซ์ภาพ การทำโมบายล์ เป็นต้น
4. ปัญญาด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย   ช่วยให้การจับต้อง หรือจัดการกับวัตถ ุและทักษะต่าง ๆ ทางกายภาพที่ละเอียดอ่อนได้
        กิจกรรมเพื่อพัฒนาปัญญาด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น การแสดงบทบาทสมมติ การแสดงละคร การใช้ภาษาท่าทาง การเต้นรำ/การฟ้อนรำ การแสดงละครใบ้ การทัศนศึกษา การทำงานในห้องทดลอง การสัมภาษณ์ การเล่นกีฬา การเล่นเกม การแสดงออกบนใบหน้า เป็นต้น
5. ปัญญาด้านดนตรี   ช่วยให้มีความรู้สึกไวเกี่ยวกับเสียงสูงต่ำ ทำนองเพลง จังหวะดนตรี และน้ำเสียง
        กิจกรรมเพื่อพัฒนาปัญญาด้านดนตรี เช่น การแสดงบนเวที การร้องเพลง การเล่นดนตรี การใช้เครื่องดนตรี การรู้จังหวะดนตรี การแต่งเพลง การร้องเพลงประสานเสียง การเล่นดนตรีเครื่องสาย การเล่นดนตรีสากลสอง/สาม/สี่ชิ้น การทำจังหวะ การเต้นแร็พ การเต้นตามจังหวะเพลง การอ่านเพลงสวด การสวดมนต์ การอ่านทำนองเสนาะ เป็นต้น
6. ปัญญาด้านรู้ผู้อื่น   หมายถึง ความสามารถในการเข้าใจผู้อื่น และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดี
        กิจกรรมเพื่อพัฒนาปัญญาด้านรู้ผู้อื่น เช่น การทำโครงงานเป็นกลุ่ม การทำงานกลุ่ม การทำแผนภูมิ การสังเกต การปฏิสังสรรค์ การสนทนาสองคน การสนทนาหลายคน การโต้วาที การสื่อสาร การปะภาพกระดาษ การวาดจิตรกรรมฝาผนัง การเล่นกีฬา การเล่นเกม เป็นต้น
7. ปัญญาด้านรู้ตนเอง   หมายถึง ความสามารถในการรู้จักตนเอง หรือความสามารถในการสร้างและรับรู้ตนเองอย่างถูกต้อง และใช้ ความรู้นี้ในการวางแผนและชี้นำชีวิตตนเอง
        กิจกรรมเพื่อพัฒนาปัญญาด้านรู้ตนเอง เช่น การอ่านวารสาร การนั่งสมาธิ/วิปัสสนา การประเมินตนเอง การบันทึก การคิดทบทวน การคัดลอกข้อความ/คำคม/คำกล่าวเกี่ยวกับตนเอง การเขียนคำประพันธ์ การแปลความ การคิดฉับพลัน การสร้างกรอบ ความคิด การวางเป้าหมาย เป็นต้น
8. ปัญญาด้านรอบรู้ธรรมชาติ   หมายถึง ความสามารถในการสังเกตรูปแบบการเป็นอยู่ของธรรมชาติ สามารถกำหนดและจัดหมวดหมู่ สิ่งต่าง ๆ และเข้าใจระบบที่เป็นธรรมชาติ และระบบที่มนุษย์ทำขึ้น
        กิจกรรมเพื่อพัฒนาปัญญาด้านรอบรู้ธรรมชาติ เช่น การทัศนศึกษา(ไปชมสวนสัตว์ ฟาร์ม และไร่นา) การศึกษาภาคสนาม การดูนก การดูรังนก การปลูกต้นไม้ การถ่ายรูป การเดินชมธรรมชาติ(การเดินป่า) การพยากรณ์อากาศ การดูดาว การตกปลา การสำรวจถ้ำ การแยกประเภทก้อนหิน การศึกษาระบบนิเวศ การจับผีเสื้อ การเก็บเปลือกหอย การศึกษาพืชและต้นไม้ต่าง ๆ เป็นต้น

สมองมีความฉลาด 8 อย่าง (Multiple Intelligence)

โดยพญ. โสภา เกริกไกรกุล ; (Neurologist)
เด็กๆ จะมีความฉลาดหลายด้านไม่ใช่เฉพาะรู้หนังสืออย่างเดียวเพื่อให้ครู พ่อ แม่ เด็ก เพื่อน ผู้ร่วมงาน รู้ว่าเด็กมีความสามารถอื่นๆ ได้อีก ได้แก่
word smart (เก่งทางคำพูด ภาษา) เป็นความสามารถในการใช้คำอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเขียน การพูด การชักจูง ความจำ การอธิบาย เล่านิทาน เล่าโจ๊ก ความรู้สึก โต้เถียง การให้เหตุผล การเขียนสรุป รายงาน ชักชวน
สามารถพบได้จาก นักแต่งบทกวี นักเขียนบทละคร นักปกครอง นักพูด นักการเมือง บรรณาธิการ นักเขียนสุนทรพจน์ คนเล่านิทาน
มักจะมีบุคลิกภาพดังนี้ มีความสารถในการจัดระเบียบแบบแผน เป็นคนมีระเบียบ ระบบ สามารถให้เหตุผล เป็นนักฟัง นักอ่าน นักเขียน สามารถสะกดคำได้ง่าย ชอบเล่นเกมต่อคำ ช่างจำเรื่องเล็กๆน้อยๆ อาจจะเป็นนักพูดในที่สาธารณะ อาจจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษา ทางด้านการเขียนหรือการพูด
การฝึกฝน หัดเล่าเรื่องต่างๆเล่นเกมที่เกี่ยวกับชื่อสถานที่ หัดอ่านเขียนเรื่องราวต่างๆ หรือเรื่องขบขัน เล่นเกมทำท่าเลียนแบบคำศัพท์ หัดเขียนบทความลงในวารสาร สัมภาษณ์ เล่นเกมปริศนา หรือเกมสะกดคำ หัดฝึกทำกิจกรรมที่ผสมผสานระหว่าง การเขียนและการอ่าน ในหัวข้อต่างๆหัดเป็นบรรณาธิการหรือเป็นที่ปรึกษา และผลิตวารสารในชั้นเรียน หัดโต้วาที วิจารณ์เรื่องราวต่างๆ หรือหัดเล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับคำศัพท์ต่างๆ
logical/mathematical (ทางด้านคณิตศาสตร์และตรรกวิทยา) การเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อมีการแก้ปัญหา การทำงานกับตัวเลข การทดลอง การสังเคราะห์ความคิด สำรวจ การคำนวณ เรียงลำดับเวลา ลำดับเหตุการณ์ การใช้เหตุผล เปรียบเทียบ ลำดับความคิด การตั้งสมมติฐาน ได้แก่ พวกนักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ วิศวกร นักสะกดรอยตามสัตว์ ตำรวจนักสืบ นักกฎหมาย นักบัญชี ฯลฯ
มักจะมีบุคลิกภาพดังนี้ ชอบคิดในเรื่องนามธรรม ชอบวิจารณ์ ชอบสนุกสนานในการนับของ ชอบทำงานเป็นระบบ สนุกสนานกับการใช้คอมพิวเตอร์ สนุกสนานกับการแก้ไขปัญหา
การฝึกฝนให้มีลักษณะทางด้านนี้ กระตุ้นให้หัดแก้ไขปัญหา ให้เล่นเกมคณิตศาสตร์จากเครื่องคอมพิวเตอร์ หัดแปลและวิเคราะห์ข้อมูล หัดให้เหตุผล กระตุ้นตนเองให้มีความกล้า กระตุ้นให้หัดทำการทดลอง หัดคาดคะเน หัดให้ทำงานผสมผสานระหว่างคณิตศาสตร์กับการจัดระบบในหัวข้อต่างๆ หัดจัดสถานที่ หัดทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน หัดคิดโดยการนำข้อมูลต่างๆมารวบรวมก่อน สรุปผล หัดใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับการคำนวณ การทำตารางต่างๆ
Spatial ทางด้านการมองภาพรวม (มิติสัมพันธ์) สามารถพบได้จาก สถาปนิก ช่างทาสี ช่างปั้น นักเล่นหมากรุก นักนิยมไพร นักฟิสิกส์ ผู้วางยุทธศาสตร์การรบ นักบริหาร
มักจะมีบุคลิกภาพดังนี้ สามารถจินตนาการและความรู้สึกออกมาเป็นการแสดง รูปภาพ หรือภาพพจน์ได้ มักใช้คำอุปมาอุปไมย ชอบงานศิลปะ วาดภาพ ระบายสี ปั้นหรือแกะสลัก มีทัษะในการอ่านแผนที่ แผนภูมิ จำเรื่องราวต่างๆเป็นภาพได้ มีทักษะในการใช้สี
วิธีการที่จะฝึกฝนให้มีลักษณะทางด้านนี้ ใช้การเรียนด้วยภาพ หัดให้สร้างสัญลักษณ์หรือภาพ หัดให้วาดแผนที่ แผนภูมิ หัดให้ทำงานผสมผสาน ระหว่างงานทางศิลปะกับวิชาต่างๆ หัดวาดแผนที่ในใจ หัดทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเห็น ทัศนศึกษาหรือสร้างภาพด้วยตนเอง หัดการเรียนรู้โดยใช้การกระตุ้นจากสิ่งรอบข้าง หัดเล่นละครที่ใช้ท่าทาง มีการเปลี่ยนแปลง จัดห้องใหม่ๆ เพื่อให้มีการฝึกความรับรู้แบบต่างๆ หัดให้ใช้เครื่องมือที่ทันสมัยในการจัดระบบหรือสร้างแผนภูมิ หัดจัดกลุ่มต่างๆ ระบายสีเพื่อเน้นข้อความ หัดใช้คอมพิวเตอร์ในการวาดภาพ
Music เก่งทางดนตรี การเขียนบทเพลง การร้องเพลง สร้างการฟังจังหวะเพลง ความสามารถในการรับรู้และแสดงออกของดนตรี
มักพบได้จาก นักแต่งเพลง นักแสดง ผู้ควบคุมวงดนตรี ช่างปรับระดับเปียโน
มีบุคลิกภาพดังนี้ มีทักษะในเรื่องของจังหวะ ระดับเสียง มีทักษะพิเศษในการรับรู้ถึงพลัง ความซับซ้อน และระดับของเสียงดนตรี เป็นผู้ที่รับรู้สิ่งลึกลับได้
วิธีการที่จะฝึกให้มีทักษะทางด้านนี้ หัดให้เล่นดนตรี ใช้การร้องเพลงเข้ามาประกอบในบทเรียน หรืออาจจะเป็นคอนเสริต์ก็ได้ ทำงานเกี่ยวกับดนตรี ร่วมร้องเพลงในที่ต่างๆ หัดแต่งเพลง ผสมผสานการเรียนโดยใช้ดนตรีกับวิชาอื่นๆ จินตนาการหรือวาดภาพโดยการใช้เสียงดนตรี การอ่านบทกวีโดยใช้จังหวะเสียงดนตรีต่างๆกัน แต่งเพลงด้วยคอมพิวเตอร์
Kinesthetic เก่งและเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว การเต้นรำ การกีฬา การแสดงบทบาทต้างๆ การทัศนศึกษา ความสามารถในการแสดงออกต่างๆ ฟังความคิด ความรู้สึก กิริยาอาการ เช่น นักกีฬา นักเต้นรำ นักแสดง นักกีฬา นักประดิษฐ์ ช่างกล คนจัดเวลา
มีลักษณะพิเศษดังนี้ สามารถควบคุมร่างกายได้ โดยเฉพาะอวัยวะที่คนอื่นทำไม่ได้ เช่นใบหู มีลักษณะในการเรียนรู้การเคลื่อนไหวร่างกายและตอบโต้ได้ดี ชอบเล่นกีฬา มีทักษะในงานฝีมือ ชอบแสดง ชอบทำงานหัตถกรรมต่างๆ ชอบเรียนรู้โดยการมีส่วนร่วมในงานนั้นๆ จำเรื่องราวต่างๆได้ดี โดยการร่วมในกิจกรรมมากกว่าจากการบอกเล่า หรือแค่สังเกต มีความรู้สึกไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
Interpersonal ทางด้านปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นหรือทางด้านสังคม เก่งทางมนุษยสัมพันธ์ เรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อมีการทำงานร่วมกับคนอื่น การสัมภาษณ์ การถกเถียงกันในกลุ่ม การวางแผน สำรวจการให้วิจารณ์ การสอน การระดมสมอง การวิเคราะห์ตนเอง ความสามารถในการสังเกต ความแตกต่างของแต่ละบุคคล เช่น อารมณ์ ความสนใจ เข้าในอารมณ์ของผู้อื่นได้ดี มีเพื่อนมาก ชอบกิจกรรมกลุ่ม
มักพบได้จาก นักรัฐศาสตร์ ครู ผู้นำทางศาสนา ผู้นำทางการเมือง ที่ปรึกษา คนขายของ ผู้จัดการ นักสังคม
มักจะมีบุคลิกภาพดังนี้ มีความคิดริเริ่มดี เข้ากับผู้อื่นได้ดี สามารถอ่านความนึกคิดของผู้อื่นได้ สนุกสนานกับการได้อยู่กับบุคคลอื่น มีเพื่อนมาก สื่อสารและปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่นได้ด้วย สนุกสนานกับการทำกิจกรรมกลุ่ม ชอบทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการโต้วาที ชอบทำงานร่วมกับผู้อื่น เรียนรู้สังคมได้เก่ง
วิธีที่จะทำให้มีลักษณะทางด้านนี้ หัดทำให้กิจกรรมกลุ่มสันทนาการ แบ่งปันกัน ฝึกทักษะด้านการติดต่อและการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น สนทนากัน หัดให้จัดงานรื่นเริงเพื่อฉลองการเรียน หัดสำรวจผู้อื่น โดยใช้กิจกรรมทางสังคม กับบทเรียนในวิชาต่างๆ พูดคุยกันเพื่อตอบคำถามที่ตั้งไว้ เรียนรู้โดยการให้การบริการผู้อื่น หัดให้แนะนำสั่งสอนผู้อื่น หัดให้ใช้เหตุผล
Intra personal ทางด้านรู้จักตนเอง เรียนรู้เมื่อมีการวิจัย เขียนบันทึกประจำวัน ความสามารถแก้ปัญหาด้วยตนเอง ค้นหาคำตอบภายในตนเอง ความสามารถเข้าใจความรู้สึก และพฤติกรรมของตน
มีบุคลิกภาพดังนี้ รู้จักตนเอง รู้จักคุณค่าของตน รับรู้ความรู้สึกผู้อื่นได้ดี มีเป้าหมายของชีวิต มีการพัฒนารับรู้ตนเองได้ดี รู้จักกระตือรือร้น รู้ถึงจุดอ่อน และจุดแข็งของตนเอง ชอบสันโดษ ต้องการที่จะเป็นตัวของตัวเอง
มักพบได้จาก นักเขียนนวนิยาย ที่ปรึกษา ผู้สูงอายุที่มีความฉลาด นักปรัชญา บุคคลที่สามารถรับรู้ความรู้สึกตนเองได้ดี นักจิตวิทยา ผู้นำศาสนา
วิธีที่จะฝึกฝนให้มีลักษณะทางด้านนี้ ฝึกให้พูดจากความรู้สึกในใจของตนเอง สำรวจตนเองทั้งความรู้สึก อารมณ์ และความคิด ทำกิจกรรมที่จะพัฒนาตนเอง หัดทำบันทึกย่อๆ เกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ แลกเปลี่ยนและแสดงความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ฝึกให้ฟังและคิด ใช้เวลาเพื่อแสดงความรู้สึกตนเอง วิจารณ์หรือเขียนแสดงถึงประสบการณ์ และความรู้สึกของตนเอง เรียนรู้ที่จะควบคุมตนเอง สอนให้เชื่อมั่นในตนเอง สอนให้หัดตั้งคำถาม
Naturalist (สิ่งแวดล้อมทั้งคน และธรรมชาติ) เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ สังเกตความแตกต่าง ได้แก่ นักชีววิทยา นักสิ่งแวดล้อม
เพราะฉะนั้น เด็กไม่จำเป็นจะต้องเก่งแต่เลข หรือภาษา แต่จะเป็นทางกีฬา ดนตรี ฯลฯ ซึ่งเราสามารถส่งเสริมเขาได้ตามความถนัดและความสนใจของเด็ก ไม่จำเป็นที่จะต้องเคี่ยวเข็ญ ในสิ่งที่เขาไม่ชอบหรือทำไม่ได้ อย่าบังคับเคี่ยวเข็ญมากเกินไปในสิ่งที่เด็กไม่อยากทำเด็ดขาด เพราะจะเป็นการผลักดันให้เด็กฆ่าตัวตาย หรือเป็นโรคประสาท หรือหันเข้าหายาเสพติดมากขึ้น เพราะมีผู้ใหญ่ไม่เข้าใจในตัวเด็ก ต้องคุยและฟังกันด้วยเหตุผล มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาแล้วบ่อยๆครั้ง ท่านลองสังเกตหรือติตามข่าวดู ซึ่งจากการวิจัยพบว่า เด็กวัยรุ่นฆ่าตัวตายอันดับสองรองจากวัยทำงาน และหันเข้าหายาเสพติดมากขึ้น สาเหตุมากสุดคือ จากคำพูดจาที่ทำลายกำลังใจเด็ก ทั้งจากพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และคนใกล้ชิด โดยที่ผู้ใหญ่ไม่รู้ตัว
นักทำนายอนาคต (Futurist) จึงได้กล่าวไว้ว่า ปัจจุบันข้อมูลต่างๆ มีมากมายและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การเรียนรู้ทุกอย่างเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนการสอนคือ การสอนวิธีการแสวงหาความรู้ที่เด็กสนใจมาได้ และคิดเป็น (Learning how best to learn and how to think) เด็กทุกคนจะรู้ว่าตนเองต้องการสนใจสิ่งใดในช่วงเวลาที่แตกต่างกันของชีวิต และสามารถที่จะค้นคว้าหาความรู้ที่ตนสนใจนั้นได้
Albert Einstein แนะนำว่า จินตนาการสำคัญมากกว่าความฉลาด (Imagination is more important than intelligence)
 



น่าสงสารจังเลย